เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ ส.ค. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ส่วนอารมณ์ของคนเป็นเรื่องอารมณ์ของคน สัจธรรมเป็นสัจธรรม เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเชื่อมั่นกันในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วมันเป็นสัจธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อสัตว์ขนสัตว์พวกเรานี่แหละ พวกที่มันตกทุกข์ได้ยาก ที่หัวใจที่มันบอบช้ำ ผู้ที่มีความกดดันในหัวใจ ให้มันปลอดโปร่ง ให้มันโล่งโถงในหัวใจของตนไง นั่นคือสัจธรรม

สัจธรรมนะ เราเกิดมาเรามีร่างกายนี้ เรามีปากมีท้องเหมือนกัน เราต้องมีสัมมาอาชีวะเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปแล้ว มนุษย์ต่างจากสัตว์ ต่างจากสัตว์เพราะมีศีลธรรม ถ้ามนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะศีลธรรม ทางวิทยาศาสตร์ที่เขาพิสูจน์ได้ๆ ทางวิทยาศาสตร์เขาพยายามพิสูจน์อยู่ แล้วเราติดตามข่าวนะ เขาสรุปแล้ว ภพชาติไม่มี มีชาติเดียว แต่เขาบอกว่าถ้ามันมีข้อมูลอื่น เขายังรับพิจารณาอยู่นะ นี่ในวงการวิทยาศาสตร์ เขาอยากพิสูจน์ว่าภพชาติมันมีหรือเปล่า แต่ทีนี้ทางวิทยาศาสตร์เขาสรุปแล้ว ภพชาติไม่มี มีชาติเดียว นี่ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไง ในทางวิทยาศาสตร์เขาพยายามพิสูจน์อยู่ๆ เห็นไหม

แต่เวลาเป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นสัจจะเป็นความจริง คนเราเกิดมามีกายกับใจเหมือนกัน มีกายกับใจเหมือนกัน คนเกิดมามีปากมีท้องเหมือนกัน คนเกิดมาต้องมีสัมมาอาชีวะเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงปากเลี้ยงท้องนะ

ในทางวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์อีกล่ะ เวลานักกีฬา ถ้านักกีฬามีการแข่งขัน นักกีฬาถ้าฟอร์มตก นักกีฬาที่ไม่ได้ พยายามนั่งสมาธิเพื่อให้จิตใจมั่นคง สิ่งที่นักกีฬา แล้วเวลาคนเราพยายามรักษาหัวใจของตนอย่าให้มีความเครียด ความเครียดทำให้เกิดโรคทุกโรคเลย โรคเกิดจากเพราะความเครียดของตน ไม่เป็นมันก็คิดจนเป็นน่ะ อุปาทาน มันคิดจนมันเป็นได้แล้วกันล่ะ ไม่เป็นไรมันก็คิด คิดจนมันเป็นน่ะ นั่นไง โรคเครียดๆ ไง

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมโอสถๆ เราเกิดมามีกายกับใจๆ เกิดมา เราก็ต้องมีสัมมาอาชีวะเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่เวลาธรรมะๆ มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมีศีลมีธรรม ถ้ามีศีลมีธรรม ศีลธรรมขนาดไหน ศีลธรรมๆ ศีลธรรม ดูสิ อ้อนวอน อทาสิเม อกาสิเมฯ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เวลางานศพ เวลาคนตายแล้วอย่าคร่ำครวญ อย่าร้องไห้ อย่าเสียใจ ทำคุณงามความดีต่อกัน แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ต่อกัน ใจถึงใจ ใจถึงใจไง

นรกสวรรค์ไม่มี มีชาติเดียว มันจริงหรือ ถ้ามันจริงขึ้นมา คนเกิดมา เห็นไหม โตโยต้า รุ่นไหนออกมาต้องเหมือนกันหมดเลย เกิดมาจากพ่อจากแม่ออกมานะ ลูกต้องเหมือนกันหมดเลย พ่อแม่คนเดียวกัน ลูกออกมาไม่เห็นเหมือนกันสักคนหนึ่งเลย เวลาไปตรวจดีเอ็นเอนะ ของพ่อของแม่หมดเลย แต่นิสัยมันไม่ได้ นิสัยไม่ได้ของพ่อของแม่มาสักคน มันเป็นของมันเอง

แล้วเราเกิดมาแล้ว คนที่ดี คนที่ดี พันธุกรรมของจิตๆ เขาได้สร้างคุณงามความดีของเขามา เวลาเขาเกิดขึ้นมาเกิดเป็นคนที่ดี หัวใจเขาดี หัวใจเขาดี เขาคิดแต่สิ่งที่ดีงามใช่ไหม เวลาเขาเกิดมา เกิดมาด้วยเวรด้วยกรรม เกิดมาจองล้างจองผลาญ เกิดมาทำลายกันนะ นั่นมันเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเขาทำมาๆ เขาทำมาคือสิ่งที่มันทำมา อย่างเช่นในชาติปัจจุบันนี้เราทำสิ่งใดมามันก็เป็นเวรกรรมต่อกันไป เขาพยายามทำบุญกรวดน้ำ สพฺเพ สตฺตา อย่าได้พบได้เจอกันอีกเลย แต่ถ้าคนมันรักใคร่กันก็อยากจะเจอกันๆ

มันมีนะ มีคนเคยเขียนจดหมายไปถามหลวงตา สมัยที่เราอยู่กับท่านน่ะ โอ้โฮ! รักสามีมาก รักสามีมาก เวลาสามีตายไปต่อหน้านะ สามีเป็นตำรวจ เป็นตำรวจที่ดี เป็นตำรวจที่รักครอบครัว แล้วผู้ชายเป็นตำรวจที่ดีก็หายากอยู่แล้ว ยังรักครอบครัวอีกนะ แล้วเขาเห็นถึงคุณงามความดีของสามีเขา เขาก็ตั้งใจเลยนะ ตั้งแต่บัดนี้ไปจะอุปัฏฐากจะดูแลสามีให้ยอดเยี่ยมเลย เขาบอกเขาคิดอย่างนี้นะ พอเขาคิดอย่างนั้น วันนั้นสามีออกจากห้องน้ำมาล้มหัวฟาดเสียชีวิตเลย โอ๋ย! มันจะตาย มันจะตายตามเดี๋ยวนั้นน่ะ มันจะฆ่าตัวตาย มันจะวิ่งให้รถชน มันจะทำให้ตายให้ได้ ญาติพี่น้องเขาห้ามขนาดไหนก็ห้ามไม่ได้ สุดท้ายพาไปหาหลวงตาไง ไปหาหลวงตา เขาบอกว่าคนนี้จะฆ่าตัวตาย

หลวงตาบอกเอาเลย ฆ่าตัวตายเลย ฆ่าได้เลย แต่ก่อนฆ่าตัวตายนะ มีลูกอยู่คนหนึ่ง ต้องให้ลูกฆ่าตัวตายก่อน แล้วแม่มันถึงฆ่าตัวตายตาม

แม่มันบอกว่าไม่ได้ ถ้าลูกฆ่าตัวตายไปแล้วใครจะสืบสกุลล่ะ

หลวงตาท่านสวนกลับเลย แล้วถ้าแม่มันตาย ลูกมันจะอยู่กับใครล่ะ แล้วลูกมันใครจะเลี้ยงดูมันล่ะ

โอ้โฮ! มันฟื้นสติขึ้นมาไง พอฟื้นสติขึ้นมา หันมาข้างหลังเลยนะ หันมาติเตียนเพื่อน เมื่อก่อนไม่เห็นเตือนเลย ไม่เห็นบอกเลย เมื่อกี้ยังดึงอยู่นะ มันจะให้รถชนตาย ดึงมันอยู่

เวลาคนคิดไม่ได้มันคิดอย่างนั้นน่ะ เวลาคนคิดได้ แล้วหลวงตาท่านก็เทศน์ไง เวลาคนตายไปแล้วเหมือนเข็มในมหาสมุทร เราเอาเข็มโยนลงไปในมหาสมุทร แล้วเราก็จะไปงมเข็มในเล่มนั้นๆ จะงมได้เจอไหม สามีตายไปแล้ว เราจะตายตามไปเพื่อไปให้เท่าทันสามี มันจะเป็นไปได้อย่างไร สามีเขาทำคุณงามความดีของเขา เขาออกมาจากห้องน้ำของเขา เขาล้มฟาดของเขา เขาตายโดยธรรมชาติของเขา ไอ้เราจะฆ่าตัวตายๆ ความตายก็ไม่เหมือนกัน กรรมก็ไม่เหมือนกัน แล้วมันจะไปเจอกันไหม มันจะไปพบกันที่ไหน มึงตายไปน่ะตายเปล่าเลย ฆ่าตัวตายไปตายเปล่า ไม่เจอสามีอีกต่างหาก

แต่ถ้าสร้างคุณงามดีต่อกัน เราระลึกถึงกัน เราสร้างคุณงามความดีกัน เราระลึกถึงกัน ใจถึงใจ เราทำของเราได้

นี่ไง ภพชาติไม่มีหรือ ภพชาติไม่มีใช่ไหม ถ้าไม่มีๆ ก็วิทยาศาสตร์ไง เพราะวิทยาศาสตร์มันก็กลัวตายไง ไอ้นักวิทยาศาสตร์มันเป็นมะเร็ง มันไปหาหมอน่ะ มันมาหาพระเลย มาให้พระเป่าหัวให้มันหาย แต่มันเป็นนักวิทยาศาสตร์ นี่นักวิทยาศาสตร์เขาคิดกันอย่างนั้น นี่มันพิสูจน์ไง

ทีนี้กาลามสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนมาอย่างนั้นจริงๆ อย่าให้เชื่อ นักวิทยาศาสตร์มันทำถูก ไม่เชื่อ ถ้ามันไม่รู้ไม่เห็น ไม่เชื่อ ถูก แต่เอ็งก็ต้องพิสูจน์สิ ถ้าเอ็งพิสูจน์มา เอ็งก็เอาข้อมูลของเอ็งที่เอ็งมีเท่านั้น เอามีแต่ความเห็นของเอ็งเท่านั้น เอ็งเชื่ออย่างนั้น เอ็งก็ยืนยันอย่างนั้นว่าเอ็งเห็นอย่างนั้น

แต่ถ้าความจริงๆ ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านรู้ท่านเห็นของท่านนะ จิตนี้มาจากไหน คนที่นั่งอยู่นี่มันมาจากไหน มันเกิดมาจากใคร เวลามันเกิดมา มันเกิดมาจากพ่อจากแม่มัน พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของร่างกาย ตรวจแล้วเหมือนพ่อเหมือนแม่หมดเลย แต่หัวใจมันมาจากไหน มันมีอำนาจวาสนาหรือไม่

ถ้ามันมีอำนาจวาสนาของมันมา จิตที่มันดีงาม เห็นไหม เวลานักกีฬาๆ เวลาเล่นแข่งขันไม่ดีเขายังให้ทำสมาธิเลย เวลาคนของเราทั่วไปเขาบอกให้รักษาหัวใจของตนๆ รักษาหัวใจของตนเพื่ออะไร เพื่อไม่ให้มันเครียด เพื่อให้ธรรมโอสถ ให้แบ่งเบา ให้กิเลสมันเบาบางลงไง ไม่ให้มันไปกดทับร่างกายจนเกินไปไง มันบีบคั้นจนเราเป็นทุกข์เป็นยากขึ้นมาไง เพราะหัวใจอย่างนั้น เห็นไหม มาวัดมาวามาทำบุญกุศลของเราให้จิตใจเป็นสาธารณะไง ให้รู้จักฟังธรรมๆ

ฟังธรรมคือฟังสัจธรรม อย่าไปฟังสัญญาอารมณ์ ฟังคนที่เขาโอ้โลมปฏิโลมไง เขาจะเอาประโยชน์ทั้งนั้น เขาปอกลอกทั้งนั้น เวลาเขาปอกลอก ปฏิบัติอย่างนั้น ปฏิบัติอย่างนั้นแล้วได้อะไร เขาบอกไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น มาวัดแล้วไม่ต้องการอะไรเลย...ไม่ต้องการสิ พอศรัทธาขึ้นมาน่ะให้ทั้งชีวิตเลย ชีวิตก็มอบให้เขานะ

แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น ดูสิ พระสารีบุตรไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมถึงไม่เชื่อล่ะ อ้าว! ไม่เชื่อเพราะมันรู้จริงไง มันเห็นจริง

ไอ้ความเชื่อเป็นความเชื่อนะ ความเชื่อเคารพบูชามาก ไอ้คำว่า ไม่เชื่อ” ไม่เชื่อนี่เป็นธรรม เป็นสัจธรรมในหัวใจ แน่ใจวัฏฏะ อู้ฮู! เคารพบูชาสูงสุด

เรา พ่อแม่ของเราจะมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน พ่อแม่ของเรา เราก็รักพ่อแม่เราใช่ไหม พ่อแม่เป็นพ่อแม่เราใช่ไหม แต่เวลาเราทำมาหากิน เรามีฐานะตำแหน่งสูงส่งขนาดไหน แต่เราก็รักพ่อแม่เราใช่ไหม ไอ้ฐานะความทำมาหากินนั้นเป็นผลงานของเรา แต่ชีวิตนี้ได้มาจากพ่อจากแม่ ชีวิตนี้พ่อแม่เลี้ยงดูมา แล้วมันจะไม่เคารพที่ไหน

นี่ก็เหมือนกัน ไม่เชื่อ ไม่เชื่ออย่างไร ไม่เชื่อ ไม่เชื่ออะไร ชีวิตนี้ได้มามันเป็นพระคุณ กตัญญูกตเวทีสูงส่งนัก แต่ธุรกิจเรื่องการประกอบสัมมาอาชีวะต้องสมองเราสิ นี่ก็เหมือนกัน พระสารีบุตรเวลารู้จริงเห็นจริงในใจของพระสารีบุตรนะ มันก็รู้จริงขึ้นนมาจากมรรคจากผลในใจของพระสารีบุตรใช่ไหม จะไปเชื่ออย่างไร ความเชื่อๆ นี่เป็นวิทยาศาสตร์เลย มันเป็นคนละส่วนกัน ความเชื่อความศรัทธานั่นเรื่องหนึ่ง ความกตัญญูนั้นเรื่องหนึ่ง มรรคเป็นเรื่องหนึ่ง

ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาที่เกิดกับเรา กำลังของจิต จิตที่เข้มแข็ง จิตที่อ่อนแอไง จิตที่อ่อนแอ จิตที่ไม่มีกำลัง จิตที่เหลวไหล จิตที่ไม่มีความมั่นคงไง จิตที่มั่นคงขึ้นมา จิตที่มีสติมีปัญญา สัมมาสมาธิไง แล้วถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นจากภาวนา ปัญญาของเรา มันเป็นปัญญาของเรานี่เกิดจากเรา อันนี้มันเชื่อเกิดไม่ได้ มันต้องทำให้เป็นความจริงขึ้นมา พอเป็นความจริงขึ้นมา เป็นมรรคขึ้นมา

พอมรรคขึ้นมา ความคิดส่งออกทั้งหมดเป็นสมุทัย มันติดใจมาก ความคิดส่งออกทั้งหมดเป็นสมุทัย ผลของสมุทัยเป็นทุกข์ ความคิดทั้งหมดเลย

เพราะคนเกิดมา ปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ มันมีอวิชชา เพราะมันมีความไม่รู้ตัวมันเองมันถึงเกิด พอเกิดขึ้นมา ความคิดที่เกิดจากจิตนี้เป็นสมุทัยทั้งหมด ความคิดเราทั้งหมด จะคิดเรื่องใด จะคิดที่ไหน คิดอย่างไร สมุทัยทั้งนั้น นี่หลวงปู่ดูลย์ท่านสรุปสุดยอด ความคิดส่งออกทั้งหมดเป็นสมุทัย ผลของสมุทัยเป็นทุกข์

เวลาว่าดูจิตๆ ดูจิตเขาให้ดูที่จิต เขาไม่ให้ดูที่อารมณ์ เขาไม่ให้ดูที่ความเชื่อ เขาไม่ให้ดูที่ความหลงใหล เขาไม่ให้ดูที่ความเข้าใจ

มีความเข้าใจเท่านั้น เข้าใจว่านี่คือการดูจิตไง เพราะอ่านตำรามา ตำราบอกให้ดูจิตๆ เราก็ดู นึกว่าความคิดนี้เป็นจิตไง

ความคิดเกิดจากจิต ไม่ใช่จิตไง สัญญาอารมณ์ก็เป็นสัญญาอารมณ์ ไม่ใช่จิตไง แล้วดูจิตๆ จะเจอจิตไหมล่ะ มันก็ไม่เจอจิตไง มันก็เป็นความคิดเดิมอยู่อย่างนั้นไง ถึงมีความเข้าใจว่า เขาเข้าใจว่านะ จิตส่งออกไม่ได้ สิ่งที่ส่งออกคืออารมณ์เท่านั้น

ก็อารมณ์มันคิดไง อารมณ์มันคิด แต่อารมณ์มันเกิดจากที่ไหน อารมณ์นะ ต้นไม้ที่ตายแล้วต้นไม้จะไม่เติบโต ต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่มันจะเติบโตของมันไปใช่ไหม ต้นไม้ที่ตายแล้วมันก็เป็นต้นไม้ตายซากใช่ไหม ความคิดถ้ามันไม่มีจิต มันจะคิดได้อย่างไร แล้วถ้ามันมีจิต มันก็มีเชื้อมาจากจิต แล้วถ้าความคิดไม่ใช่มาจากจิตหรือ แล้วความคิดมาจากจิต ก็จิตส่งออกไง คนภาวนาไม่เป็นมันไม่เห็นไม่รู้หรอก

แต่ถ้าคนเป็นนะ ความคิดทั้งหมดที่ส่งออกนี้เป็นสมุทัย ผลของมันเป็นทุกข์ ถ้าเป็นทุกข์ เราก็กำหนดพุทโธ หรือดูจิตๆ ดูจิตก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิจนจิตตั้งมั่น เวลาจิตเห็นจิต จิตเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความจริง นั่นน่ะจิตเห็นจิตเป็นมรรค

ผลจากการใช้ปัญญา ผลจากการใช้ศีล ใช้สมาธิ ใช้ปัญญา ใช้ใคร่ครวญของเรา ผลจากจิตเห็นจิต คือมีกระบวนการของมรรค มีการพิจารณาของเรา มีการกระทำของเรา ผลจากจิตเห็นจิตเป็นนิโรธ คำว่า นิโรธ” คือมันจบสิ้น มันพิจารณาไปแล้วมันสิ้น เห็นไหม

ดูสิ ดูธัมมจักฯ สิ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับเป็นธรรมดา ดับโดยรอบ ดับโดยรอบ ดับโดยสัมมาทิฏฐิ ดับโดยความถูกต้องชอบธรรม

ไม่ใช่ดับแบบพวกเรา เห็นไหม เวลาธรรมเกิดๆ เวลาภาวนาไปแล้ว อู้ฮู! มีความรู้ มีความธรรมเกิด เกิดแล้วมันคิดต่อไง ไม่รอบ ดับไม่รอบ ธรรมเกิดคือผลของอารมณ์ อารมณ์ที่เราถนอมรักษา เราดูแล เราไปคลุกคลีกับใครล่ะ ชมรมไง ชมรมเชียร์ไทยมันก็เชียร์ แล้วเชียร์อะไร เชียร์บอลก็ไปเชียร์บอล เชียร์วอลเลย์ก็ไปเชียร์วอลเลย์ ชมรมเชียร์ไทย ชมรมรถโบราณ ชมรมตีไก่ ชมรมเด็กแว๊น มันก็ไปเล่นของมันตามประสาของมัน แต่เราเข้าไปคลุกคลีอยู่กับธรรมะไง เราพยายามประพฤติปฏิบัติ เราพยายามระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราระลึกถึงสัจธรรม ตรึกในธรรมๆ มันก็ไปคลุกคลี จิตใจของเราเข้าไปคลุกคลีกับธรรม สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่ของเรา

สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็จำมา เราก็ศึกษามา เราก็ค้นคว้ามา แล้วจิตใจเราก็ใคร่ครวญของเราขึ้นมา พอใคร่ครวญขึ้นไป ถ้าเราไปคลุกคลีกับธรรม ธรรมก็เกิด พอธรรมเกิดขึ้น มันมีความคิดดีๆ มีความคิดมหัศจรรย์ แต่ความคิดนี้มันเกิดโดยสมุทัย

จิตส่งออกทั้งหมดเป็นสมุทัย ผลของมันเป็นทุกข์ๆๆ พอเกิดขึ้นมาแล้วนะ มันคลุกคลีกับธรรมะมันก็เป็นธรรมเกิด อู้ฮู! ว่างไปหมดเลย มีความสุขไปเลย แต่มันเกิดจากอะไร มันเกิดจากสมุทัย แล้วมันเกิดจากสมุทัยแล้วมันจะเป็นจริงได้ไหม มันเป็นจริงมันก็อยู่ชั่วคราวไง เพราะเราไปคลุกคลี ชมรมใดไปอยู่กับชมรมใดก็คุยกันเรื่องนั้นไง นี่ก็เหมือนกัน เราตรึกในธรรมะๆ มันก็เป็นสัจธรรม มันก็ผุดขึ้นมาไง พอผุดขึ้นมาแล้ว ผุดขึ้นมาแล้วเสียดาย นี่กิเลสเกิดแล้ว

ไอ้พวกที่ภาวนาแล้วพอธรรมเกิด แล้วอยู่ในชมรมของเขา เรามีลูกศิษย์เขามากันที่นี่แหละ เขาเป็นอย่างนี้ เราเขียนตำราเลย แล้วเขาเปิดสำนักสอน แล้วสุดท้ายแล้วเวลาใครปฏิบัติไปเป็นอย่างนี้ เขาโยนตำราให้ดูเลย นี่ไง แค่นี้ เยอะแยะไปหมดเลย มันเป็นตลาดกลาดเกลื่อนไปหมดเลย มันแค่นี้เองไง

ทั้งๆ ที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเข้ามาดูที่หัวใจของคน หัวใจของสัตว์โลก หัวใจของเราๆ มนุษย์จะต่างจากสัตว์เพราะมีศีลมีธรรม แต่มันมีศีลมีธรรม ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา ด้วยมรรคด้วยผลขึ้นมา มนุษย์นั้นเลิศ เพราะอะไร เพราะใจนั้นเป็นธรรมๆ ธรรมทั้งแท่งมันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ แต่ถ้ามันเป็นสัญญาอารมณ์มันก็ไปอยู่ข้างนอกนั่นน่ะ เป็นเงา มันก็เปลี่ยนแปลงไปทั้งนั้นน่ะ ดูสิ อาภรณ์ของใจ อาภรณ์ของใจคือความคิดมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นี่ธรรมเกิดๆ ธรรมเกิดก็ชั่วคราวทั้งนั้นน่ะ พอธรรมเกิดๆ ทีแรกก็เป็นธรรมดีทั้งนั้นน่ะ พอไปแล้วก็พลิกแพลงไปหมด นี่เวลาธรรมเกิดๆ

เวลาหลวงตาท่านถึงย้ำไง ข้อนี้เพราะหลวงตาท่านสวนกลับนะ ท่านบอกนั่นกิเลสเกิด ถ้ามันกิเลสเกิด เพราะท่านเห็นโทษของมัน แต่โดยข้อเท็จจริง เด็กของเราเวลาเติบโตขึ้นมาเป็นคนดี คบเพื่อนดีเป็นดีต่อเนื่องไป เด็กของเราเป็นคนดี แต่เขาไปคบเพื่อนผิด เขาชักนำไปที่เสียหาย

นี่ก็เหมือนกัน พอมันธรรมเกิดๆ คบธรรมะ สุดท้ายแล้วกิเลสมันพาไปอีลุ่ยฉุยแฉกเลย ท่านถึงบอกกิเลสเกิด กิเลสเกิดเพื่ออะไร กิเลสเกิดเพราะในตำราบอกธรรมเกิด แต่เวลาหลวงท่านประพฤติปฏิบัติแล้วท่านบอกว่ากิเลสเกิด กิเลสเกิดเพราะบอกเตือนไอ้พวกนั้นไว้ เตือนไอ้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไว้

คนนะ ไม่เคยประพฤติปฏิบัติจะไม่รู้อาการของจิต จะไม่รู้ความเป็นไป ไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมของมัน ไม่รู้ถึงพฤติกรรมของมัน แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาท่านรู้เลยว่าถ้ามันดี มันดีอย่างนี้ แล้วถ้ากิเลสมันพลิกแพลงแล้วมันจะเสียหายอย่างนี้ มันจะทำให้ล้มลุกคลุกคลานอย่างนี้ ทำให้หมดอนาคตอย่างนี้ ท่านถึงได้บอกกิเลสเกิดๆ ท่านเตือนไว้ เวลาท่านพูดสิ่งใดนะ เพื่อประโยชน์กับโลก เหมือนกับให้ยา หวานเป็นลม ขมเป็นยา สิ่งที่เป็นคำหวาน คำชื่นชม แหม! ฉอเลาะออเซาะ แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านให้ขมเป็นยาๆ ท่านให้ยา ท่านให้สัจธรรมไว้ มันเป็นความสะเทือนใจ มันทำให้คนฟังเขาฟัง อื้อหืม!

“ใครๆ ก็ผิดหมดเลย จะถูกอยู่กับวงกรรมฐาน” เขาว่านะ

วงกรรมฐานเขาซื่อสัตย์ ชีวิตนี้ได้มาง่ายมาก คนที่ภาวนานะ นี่ถึงว่าเป็นอริยทรัพย์ๆ ชีวิตกว่าจะเกิดมา ทางโลกพิสูจน์แล้ว เวลาเกิดในครรภ์ ๙ เดือน พอเราคลอดมา วันแม่ๆ เราถึงเคารพบูชาพ่อแม่มาก แต่สัจจะความจริงดูให้ลึกลงไปกว่านั้นนะ ถ้าดูให้ลึกลงไปกว่านั้น ถ้ากรรมไม่ดีนะ ดูฟาร์มไก่สิ ดูฟาร์มปลามันเกิดสิ ไปดูปลวก ดูสิ่งมีชีวิตสิ ๔๕ วัน เชือด ๔๕ วัน เชือด แล้วกว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์น่ะ มัน ๔๕ วันนะ แมลงวัน ๗ วันนะ ถ้ามองให้ลึกลงไปมากกว่าการเกิดจากครรภ์ จากไข่ จากน้ำครำ จากโอปปาติกะ คือมันเกิดจากรรม เกิดจากผลของเวรของกรรม เกิดจากผลของการกระทำ

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะเราทำบุญกุศลมา บุญให้ผลขนาดนั้น ถึงได้เป็นสายสัมพันธ์บาลานซ์กับพ่อกับแม่มาจุติเกิดพร้อมกัน แล้วดูถ้าผลของการเกิดนะ ถ้ามันมองให้ลึกลงไปกว่านั้นนะ พระพุทธศาสนา ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หูตาสว่าง อนาคตังสญาณรู้แจ้ง รู้แจ้ง ๓ โลกธาตุ รู้ไปหมด แต่ถ้าไม่มีประโยชน์ ไม่พูด ถ้าพูดไปแล้วนะ ไอ้พวกธรรมเกิดๆ มันจะจับคำหนึ่งแล้วไปขยายความ เป็นอย่างนั้นๆ ในพระไตรปิฎกนะ ถ้ามันตัดตอน ตัดเฉพาะคำมา มันพูดไปเลย พูดเป็นอื่นได้หมดเลย

นี่เหมือนกัน เวลาพูด ถ้าฟังให้ครบ ฟังให้จบ มันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยนะ ไม่ใช่เรื่องที่ว่า นี่ไง ที่หลวงตาท่านพูด กิเลสเกิดๆ

เราฟังแล้ว ภาษาเรานะ เวลาพูดธรรมะถ้ามันไปขัดแย้งกับบาลี นี่เป็นบาลี เป็นพระไตรปิฎกเลยนะ บาลีมีคำว่า ธรรมเกิดๆ” แล้วเวลาเราไปบอกว่านี่มันกิเลสเกิด มันขัดแย้ง แต่ทำไมท่านทุ่มเทอย่างนั้น ท่านแบกรับภาระของคนหลงผิดไว้บนบ่าท่านทั้งหมดเลยหรือ เราคิดไปนู่นเลยนะ เราพยายามคิดว่ามันมีเหตุผลอะไร

แต่เหตุผลที่เห็นชัดๆ คือเวลาธรรมแก้ให้คนหลงผิด แก้ให้คนที่ผิดพลาด แก้ให้คนให้ถูกต้องดีงาม นี่คือผลประโยชน์ แล้วท่านเอาตัวท่านออกมา เวลาท่านพูดนะ พูดธรรมะๆ เวลาพูด ถ้าพิจารณาไปแล้วมันจะเห็นถึงว่าเจตนา เห็นถึงครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านเสียสละเพื่อลูกหลานอย่างไร อันนี้พูดถึงเวลาศึกษานะ

แต่เราไม่ศึกษา เราไม่รู้อะไรหรอก เวลาบอกคนอื่นผิดหมด พวกมึงน่ะถูก แต่ในสังคมทุกสังคมมันมีทั้งคนดีและคนชั่ว แม้แต่เขาว่าถูกๆ ผิดก็มี ผิดหมายความว่าเขาพยายามจะเข้ามาเป็นพวก มันเป็นพวกกันโดยสังคม ไม่ใช่เป็นพวกกันโดยธรรม

ถ้าเป็นพวกกันโดยธรรม อริยสัจมีหนึ่งเดียว อริยสัจคืออริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มีหนึ่งเดียว อริยสัจมีหนึ่งเดียว เหมือนกันหมด โสดาบันเป็นโสดาบัน สกิทาคามีเป็นสกิทาคามี พระอรหันต์เป็นพระอรหันต์ เหมือนกันหมด ถ้าเป็นพวกกันโดยอริยสัจ แต่มันหาได้ยากไง มันก็เลยเป็นพวกกันโดยสังคมไง ขอเข้าพวกๆ เพื่อจะเอาแบรนไปโฆษณาเสียหน่อยหนึ่ง

ฉะนั้น เวลาหลวงตาท่านเตือนเยอะนะ มีคนที่ศรัทธามากไปหาท่าน บอกว่าศึกษาในลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ศรัทธามาก

ท่านพูดเลย ท่านบอกว่า เรามั่นใจว่าจะลูกศิษย์หลวงปู่มั่นก็มีทั้งดีและเลว

คำนี้ท่านพูดแล้วท่านก็มาขยายความให้พระฟังไง ท่านบอกว่า คนที่ศรัทธาเต็มหัวใจนะ แล้วถ้าไปเห็นความผิดพลาดหรือถ้าไปผิดพลาดแล้วเขาจะเสียใจมาก เลยพูดเตือนเขาไว้ บอกว่า ถ้าเราเชื่อมั่นในวงกรรมฐานแล้ว เราก็ต้องมีสติปัญญา เราเชื่อมั่นในวงกรรมฐาน แต่เรายังไม่เชื่อมั่น กาลามสูตร ไม่เชื่อมั่นสัจจะความเป็นจริงในใจของคนอื่น เราต้องพิจารณาก่อน อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งใดๆ

หลวงตาเวลาท่านพูดกับใคร เราจะศึกษา ทำไมท่านพูดอย่างนั้น เหตุผลเป็นอย่างไร เพื่อประโยชน์อะไร ศึกษามาเพื่ออะไร เพื่อมาฝึกฝนตนเอง นี่ไง ฝึกฝนตนเองให้เป็นประโยชน์ ให้เป็นประโยชน์ทั้งตัวเราและตัวเขา ต้องเป็นประโยชน์กับตน แล้วจะเป็นประโยชน์กับผู้อื่น

ถ้าตนยังบ้าบอคอแตก แล้วจะไปเป็นที่พึ่งให้ใครล่ะ ก็มีแต่เจริญพรๆ เลย วันนี้ไม่มีจะกินเลยนะ เจริญพรๆ แต่ถ้ามันเป็นจริงแล้วนะ จบ เพื่อตนและเพื่อผู้อื่น เอวัง